มากันเสียที กับภาคต่อของผู้นำทีม ดิ อเวนเจอร์ส อย่าง กัปตัน อเมริกา ที่มาในภาคนี้ต้องเจอกับศัตรูตัวฉกาจทั้ง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด และรวมถึงหนอนบ่อนไส้ในหน่วย ชีลด์ พร้อมกลับมาด้วยนักแสดงชุดเดิมยกทีมทั้ง แซมมัวร์ แอล แจ็คสัน, เซบาสเตียน สแตน, สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน เสริมทัพด้วย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ แอนโธนี่ แม็คกี้
เรื่องราวของภาคนี้ดำเนินเรื่องต่อจาก “มาร์เวลส์ ดิ อเวนเจอร์ส” สตีฟ โรเจอร์ส ที่ยังไม่สามารถปรับตัวกับบทบาทของเขาในโลกปัจจุบัน ต้องร่วมทีมกับ นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วิโดว์ เพื่อต่อสู้กับศัตรูลึกลับผู้ทรงพลังในยุคปัจจุบันใน วอร์ชิงตัน ดี.ซี. รวมถึงสืบหาข้อมูลลับที่อาจจะเป็นจุดชี้ชะตาของโลกใบนี้
หนังในภาคนี้เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็นพี่น้อง แอนโธนี่ และ โจ รัซโซ่ ซึ่งถ้าหากให้พูดถึง กัปตัน อเมริกา ภาคแรก ส่วนตัวต้องขอบอกเลยว่าค่อนข้างไม่ประทับใจสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้มันจะมีอารมณ์ความสนุกแบบ Old School แต่กระนั้นส่วนตัวก็ยังคิดว่ามันยังเป็นหนังเปิดตัวของ กัปตัน อเมริกา ที่ไปได้ไม่สวยนักในการทำให้ตัวละครนี้โดดเด่น จนในที่สุดใน The Avengers พี่กัปตัน ก็ยังดูไม่ค่อยมีรัศมีเสียที ถึงแม้จะได้รับบทเป็น หัวหน้าทีม ก็ตาม จนกระทั้งมาถึงในภาคนี้ตอนเห็นตัวอย่าง และ หน้าหนัง ตอนแรก ต้องขอบอกเลยว่าค่อนข้างเคลือบแคลงในความสามารถของผกก. ว่าจะสามารถดึงเอาเสน่ห์ของ กัปตัน กลับมาได้หรือไม่
ซึ่งหลังจากที่ได้ดูมาแล้ว ก็ต้องขอตอบอย่างเซอร์ไพรส์เลยว่า ภาค The Winter Soldier จัดได้ว่าเป็นการคืนฟอร์มที่สมศักดิ์ศรีอย่างแท้จริงของ กัปตัน อเมริกา ถึงแม้จะควบคุมโดยผกก.มือใหม่อย่าง 2 พี่น้องคู่นี้ แต่สิ่งที่ต้องขอชมจริงๆในภาคนี้ คงหนีไม่พ้นการที่ 2 พี่น้องยกระดับหนังฮีโร่ของ มาร์เวล ให้มีความเป็นผู้ใหญ่เข้าไปอีกขั้น โดยการแฝงเรื่องนัยยะทางการเมือง เข้าไปผูกกับเนื้อเรื่องได้อย่างแนบเนียน เข้มข้น และ ไม่เลือกฝั่ง จากการคอรัปชั่นภายในหมวดของหน่วยชีลด์ รวมไปถึงเสียดสีเรื่องราวการวาง อดีต และ ปัจจุบัน ผ่านเครื่องมือปริศนา ที่เปรียบเสมือนตัวละครของ โรเจอร์ เอง ได้อย่างลึกซึ้ง และถึงแม้หนังจะไม่มีฉากที่แสดงความสับสนหลงยุคของตัวละคร กัปตัน อเมริกา
แต่จากองค์ประกอบทั้งด้านของความโรแมนติค ดราม่า และ ความไม่พร้อมที่จะเผชิญต่อ อดีต ที่แฝงมาในคราบปัจจุบันของเขา ก็ต่างเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สามารถเสริมสร้างให้ตัวละครนี้กลับมาน่าค้นหา และ มีเสน่ห์ ไม่แพ้ความเป็นเพลย์บอยของ ไอร่อนแมน และ ธอร์ เลยทีเดียว
โดยในด้านอื่นทั้งฉากแอ็คชั่น และ มุกตลก ก็ยังคงเป็นอีกสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้ในหนังมาร์เวลยุคหลังแล้ว ซึ่งในส่วนนี้การดีไซน์ฉากแอ็คชั่นที่ควบคู่ความไฮเทคเข้ากับโลกปัจจุบัน ก็สามารถทำออกมาได้เร้าใจไม่ผิดฟอร์มของหนังค่ายนี้ โดยเฉพาะการที่หนังเน้นฉากต่อสู้แบบตัวต่อตัว ที่มีการโชว์ทักษะของ กัปตัน อเมริกา มากกว่าการจับปืนยิงก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบสนองแฟนๆ มาร์เวล ได้อย่างไม่ลดละ เช่นเดียว มุกตลก ที่ยังคงหยอดพอขำ ถึงแม้จะไม่ ตลกคาเฟ่ แบบ Thor: The Dark World ก็ตาม ซึ่งในขณะเดียวกัน นอกจากตัวละคร กัปตัน แล้ว ทั้ง แบล็ค วิโดว์, นิค ฟิวรี่ และ รวมถึงตัวละครใหม่อย่าง ฟัลค่อน ก็ต่างถูกแนะนำและเสริมมิติได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะรายหลังอย่าง ฟัลค่อน ที่หนังเรียกได้ว่าเป็นป๋าดันให้กับฮีโร่ตัวนี้อย่างแท้จริง จนยากที่จะไม่มีใครไม่หลงรักเขา
ซึ่งถ้าหากให้สรุปแล้วผมก็คิดว่าถ้าใครที่เป็นแฟนหนังมาร์เวลก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้วกับ CaptainAmerica ในภาคนี้ เพราะนอกจากมันจะสามารถตอบสนองความต้องการของแฟนๆได้อย่างถูกจุด การเสริมเรื่องราวให้ดูผู้ใหญ่ขึ้น ก็จัดได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่หนังยุคหลังของมาร์เวลกำลังเริ่มพัฒนาได้ดีทีเดียว
ป.ล. อย่าลืมดูฉากท้ายเครดิต มี 2 ฉากด้วยกัน ซึ่งฉากแรกจัดได้ว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่แฟนๆมาร์เวลต้องน้ำลายหก ส่วนอีกฉากนึงก็ปูไปสู่ภาคต่อได้อย่างตื่นตาเช่นกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น